ขั้นตอนการใส่รากฟันเทียม
- การประเมินและวางแผนการรักษา: ตรวจภายในช่องปาก สแกนฟัน หรือพิมพ์ปาก ถ่ายภาพ x-ray และ CT Scan เพื่อประเมินกระดูกบริเวณที่จะฝังรากฟัน และทำการวางแผนการรักษา
- การผ่าตัดฝังรากฟันเทียม: ทำการฝังรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร อาจจำเป็นต้องมีการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อเหงือก (Soft tissue grafting) และการปลูกถ่ายกระดูก (Bone Grafting)เพิ่มเติม ซึ่งจำเป็นในกรณีที่กระดูกขากรรไกรบางหรือมีปริมาตรไม่เพียงพอ
- การรอให้รากฟันเทียมยึดกับกระดูก: หลังจากฝังรากเทียมในรอกระดูกแล้วจะต้องรอให้กระดูกยึดกับรากเทียม ใช้เวลาประมาณ 2-4 เดือน หากมีการปลูกถ่ายกระดูกอาจใช้เวลานานขึ้นกับความซับซ้อน ในระหว่างนี้อาจใส่ฟันปลอมชั่วคราวขึ้นกับดุลพินิจของทันตแพทย์และความต้องการของผู้ป่วย
- การติดตั้งแกนเชื่อมต่อและฟันปลอม
หลังจากกระดูกเชื่อมติดกับรากเทียมดีแล้ว ทันตแพทย์จะติดตั้งแกนเชื่อมต่อและฟันปลอมบนรากฟันเทียม โดยใช้วัสดุสีใกล้เคียงฟันธรรมชาติ สามารถใช้บดเคี้ยวอาหาร และสามารถยิ้มได้อย่างมั่นใจ
เทคโนโลยีรากฟันเทียมในปัจจุบัน
ปัจจุบันรากฟันเทียมได้รับการพัฒนาทั้งในด้านวัสดุ กระบวนการรักษา และเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้ปลอดภัยและรวดเร็วมากขึ้น
หนึ่งในความก้าวหน้าสำคัญคือการใช้ เทคโนโลยี 3D ในการวางแผนการรักษา เช่น การสแกน 3 มิติ (3D Scanning) และการถ่ายภาพเอกซเรย์ 3 มิติ (CBCT) เพื่อประเมินโครงสร้างกระดูกขากรรไกร เส้นประสาท และตำแหน่งโพรงไซนัสอย่างละเอียด ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาใช้ร่วมกับ ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยผ่าตัด (Computer-Guided Surgery) ช่วยให้การวางตำแหน่งรากฟันเทียมมีความแม่นยำ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความสำเร็จของการรักษา
ในด้านวัสดุ ไทเทเนียม และ เซรามิก ยังคงเป็นวัสดุหลักที่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน และเข้ากับร่างกายได้ดี ปัจจุบันยังมีการพัฒนาผิวเคลือบพิเศษเพื่อเร่งกระบวนการเชื่อมต่อระหว่างกระดูกและรากฟันเทียม (Osseointegration) ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และสำหรับผู้ป่วยที่มีมวลกระดูกขากรรไกรไม่เพียงพอ การปลูกถ่ายกระดูก (Bone Grafting) หรือการใช้วัสดุเสริมสร้างกระดูกเทียมได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยลดระยะเวลาการรักษาคือ รากฟันเทียมแบบทันที (Immediate implant placement and loading) ในกรณีที่กระดูกและเหงือกอยู่ในสภาพสมบูรณ์น หลังจากถอนฟันแล้วสามารถฝังรากเทียมได้ทันที และหากมีความจำเป็นสามารถติดตั้งฟันปลอมชั่วคราวได้ทันทีเช่นกัน เพื่อลดความไม่สะดวกในการใช้งานระหว่างรอการฟื้นตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์และข้อจำกัดของผู้ป่วยแต่ละราย
ระยะเวลาการฟื้นตัว
- ฟื้นตัวเบื้องต้น: ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
- การสมานกระดูก: ใช้เวลา 2-4 เดือน หรืออาจนานขึ้นถึง 6-9 เดือน ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของการผ่าตัดในตำแหน่งที่ฝังรากเทียมสุขภาพและการหายของแต่ละบุคคล
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน
แม้ความเสี่ยงจะต่ำ แต่การทำรากฟันเทียมอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น:
- การติดเชื้อ
- อาจเกิดความเสียหายต่อฟันข้างเคียง
- กระดูกขากรรไกรแตกหรือมีการหายของแผลล่าช้า
- การบาดเจ็บต่อเส้นประสาท อาจทำให้เกิดอาการชาบริเวณริมฝีปากได้
- มีเลือดออก หากมีการผ่าตัดเป็นบริเวณกว้าง อยู่ใกล้เส้นเลือด หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องการมีเลือดออกง่าย หยุดยาก เลือดแข็งตัวช้า มักมีอาการบวม ผิวหนังมีรอยเขียวช้ำร่วมด้วย
- การอักเสบ/ติดเชื่อของโพรงไซนัส (กรณีติดตั้งในบริเวณขากรรไกรบน)
จึงมีความจำเป็นที่ต้องเลือกรับการรักษากับทันตแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีความรู้ และมีความนุ่มนวลในการให้การรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงหรือลดความเสี่ยงดังกล่าว
การดูแลหลังการรักษารากฟันเทียม
การดูแลหลังการติดตั้งรากฟันเทียมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของรากฟันเทียมให้ยาวนานที่สุด โดยปฏิบัติตามคำแนะนำดังต่อไปนี้:
- การดูแลในช่วงแรกหลังการผ่าตัด
- ควบคุมการมีเลือดออก: หากมีเลือดออกเล็กน้อย ให้กัดผ้าก๊อซที่ทันตแพทย์ให้มาอย่างนุ่มนวลประมาณ 60 นาที หากเลือดไม่หยุด ควรติดต่อทันตแพทย์ทันที
- ลดอาการบวม: ใช้การประคบเย็นบริเวณแก้มในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแผล: ไม่ควรสัมผัสแผลด้วยลิ้นหรือมือ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- อาหารและเครื่องดื่ม
- หลีกเลี่ยงของร้อนหลีกเลี่ยงอาหารแข็งหรือเหนียว: ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรรับประทานอาหารอ่อน เช่น ซุป โจ๊ก หรือโยเกิร์ต
- หลีกเลี่ยงของร้อน: งดดื่มเครื่องดื่มร้อน เช่น กาแฟหรือชา เพราะอาจกระตุ้นการอักเสบของแผล
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่: สิ่งเหล่านี้อาจชะลอการฟื้นตัวและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- การรักษาความสะอาดช่องปาก
- แปรงฟันเบา ๆ: ใช้แปรงสีฟันขนนุ่มในการทำความสะอาดฟันและเหงือกบริเวณรอบรากฟันเทียม ระมัดระวังอย่าให้กระทบแผล
- ใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อ: หากทันตแพทย์แนะนำ ให้ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ
- ใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟัน: ทำความสะอาดระหว่างฟันและบริเวณรากฟันเทียมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของคราบจุลินทรีย์
- การหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจกระทบแผล
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: เช่น การยกของหนักหรือการเล่นกีฬาในช่วงแรก เพราะอาจเพิ่มแรงดันในบริเวณแผล
- งดใช้หลอดดูด: การใช้หลอดดูดอาจสร้างแรงดันในช่องปากและทำให้แผลเปิด
- การเข้าพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจติดตามผล: พบทันตแพทย์ตามนัดเพื่อตรวจสอบความสมานของกระดูกและความมั่นคงของรากฟันเทียม
- การรักษาสภาพเหงือกรอบรากเทียมให้อยู่ในสภาพที่ดี: ควรเข้ารับการทำความสะอาดฟัน ขูดหินปูน รักษาโรคเหงือกโดยทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง
- การปฏิบัติในระยะยาว
- ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างต่อเนื่อง:แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และรักษาความสะอาดรากฟันเทียมเหมือนฟันธรรมชาติ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ฟันเสียหาย: เช่น การกัดเล็บ การใช้ฟันเปิดขวด หรือการเคี้ยวอาหารที่แข็งมาก
เมื่อใดควรติดต่อทันตแพทย์?
ติดต่อทันตแพทย์ทันทีหากพบปัญหา ดังนี้
- รากฟันเทียมหลวม ขยับ หรือโยก
- เหงือกบวม มีเลือดออก หรือมีหนองบริเวณรากฟันเทียม
- เคี้ยวแล้วเจ็บ ใช้งานแล้วมีอาการผิดปกติไม่เหมือนเดิม
สรุป
รากฟันเทียมเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืนในการทดแทนฟันที่สูญเสียไป สามารถช่วยฟื้นฟูการบดเคี้ยว การพูด สร้างรอยยิ้มที่มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น กระบวนการรักษาอาจใช้เวลา แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่า หากคุณสนใจ แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่มีความจำเพาะและเหมาะสมสำหรับคุณ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว